การคว้าชัยชนะในครั้งนั้น ไม่ใช่แค่โทรฟี่ธรรมดา เหมือนซีซั่นอื่นๆ แต่เป็นการชู ‘ถ้วยทอง’ ที่ไม่ใช่ยาหม่องแต่อย่างใดนะครับ พวกเขาเป็นผู้เถลิงบัลลังก์ โดยไม่ปราชัยให้กับผู้ใดตลอด 38 นัด ซึ่งเป็นครั้งแรก และครั้งเดียวบนเกาะอังกฤษ ที่สาวก ‘ปืนโต’ สามารถเบ่งได้ตั้งแต่ เหนือจรดใต้ เชียงราย - ปัตตานี ก็เบ่งได้

แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปกว่า 2 ทศวรรษ แล้วไม่ได้สัมผัสถ้วยใบนี้อีกเลย แถมในช่วงเวลาเดียวกัน ยังต้องมองทีมอย่าง ลิเวอร์พูล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าถ้วยยุโรปมาประดับบารมี ไม่เว้นแม้แต่ เวสต์แฮม ที่ก็มีความสำเร็จระดับทวีปมาประดับตู้โชว์ แม้จะเป็นรายการเล็กสุดก็ตาม แต่กับพวกเขาได้แต่ยืนมองจากลอนดอนอย่างเศร้าใจ

ฤดูกาลที่แล้ว อาร์เซนอล มีโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก หลังจากรอคอยอย่างเนิ่นนาน แต่สุดท้ายก็ได้แค่เกือบ เมื่อเป็นจ่าฝูงอยู่ 248 วัน แต่สุดท้ายคว้าน้ำเหลว เมื่อสะดุดขาตัวเองให้ ‘เรือใบสีฟ้า’ แล่นเข้าป้ายในท้ายที่สุด

ช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา มิเกล อาร์เตต้า เสริมทีมแบบว่าปีนี้จะพลาดไม่ได้ เมื่อทุ่มเงินมากกว่า 100 ล้านปอนด์ เพื่อคว้าตัว ดีแคลน ไรซ์ ประกอบกับแนวรุกสารพัดประโยชน์ ดีกรีผู้ทำประตูชัยแชมป์ยุโรป ไค ฮาแวร์ตซ์ และ จูเลี่ยน ทิมเบอร์ ที่เล่นเกมรับได้ทุกตำแหน่ง เห็นได้ชัดจากฟอร์มอันโดดเด่นในเกม คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ที่ผ่านมา

อาร์เซนอล มีบทพิสูจน์สำคัญในฤดูกาลนี้ คือการต้องกระฉากถ้วยพรีเมียร์ลีก กลับมาอยู่ในอ้อมกอดให้ได้อีกครั้ง โดยการเดินทาง 38 นัด จะเริ่มต้นที่เย็นวันนี้เป็นเกมแรก ในเวลา 18.30 น. เปิดบ้านพบกับ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์

นัดนี้สำหรับ ‘ไอ้ปืนใหญ่’ แค่ชนะอาจไม่เพียงพอ แต่ต้องเป็นการถล่ม ‘เจ้าป่า’ ให้ราบเป็นหน้ากลอง เพื่อประกาศก้องให้ ‘เรือใบสีฟ้า’ ได้รับรู้ว่า “ปีนี้พวกข้าจะไม่พลาดให้อีกแล้ว”

เขียนโดย The Lite Team.